Home Top Ad

พลิกโควิทให้เป็นโอกาส คุณจะไม่พลาดถ้าได้อ่านบทความนี้

นับตั้งแต่มีข่าวสารโควิท (COVID-19) เข้ามาในชีวิตกว่า 2 เดือน หลายคน (รวมถึงเรา) อาจคิดมากจนจิตตกไปว่า "นี่มันเกิดอะไรขึ้น" "ทำไมต้องเกิดกับชั้นด้วย โว้ยยย" จนลืมไปว่าในโลกที่มืดมิดจากโควิทนี้ยังมีมุมดีๆ ที่เกิดขึ้นเพราะมีเจ้าโควิทเกิดขึ้นเช่นกัน จะมีอะไรบ้างนั้นไปดูกันเลยค่ะ

Disclaimer : สิ่งที่กิ๊ฟเขียนขึ้นนั้นเกิดจากประสบการณ์และความคิดของตัวเองที่มีอาชีพเป็นฟรีแลนซ์ อยู่ในครอบครัวฐานะปานกลาง และอาศัยในกรุงเทพฯ

พลิกโควิท(วิกฤต)ให้เป็นโอกาส

ใกล้ชิดบุพการีมากขึ้น

เพราะสถานการณ์โควิทในตอนนี้ทำให้ทั้งพ่อและแม่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "กิ๊ฟฟฟฟฟ ถ้าไม่จำเป็นอย่าออกจากบ้านนะลูก" ตอนแรกก็ไม่เข้าใจนักหรอก คิดแค่มุมแคบๆ ของตัวเองว่าร่างกายเราแข็งแรงพอและป้องกันอย่างดีด้วยการใส่แมส และพกเจลล้างมือ ก็น่าจะรอดนะ หารู้ไม่ว่าถึงเราจะไม่ได้ป่วยแต่เราก็มีโอกาสเป็นพาหะนำ COVID-19 มาสู่คนในบ้านได้ ยิ่งพ่อแม่อยู่ในวัยผู้สูงอายุแล้ว การได้รับเชื้อโรคนั้นจะไวกว่าวัยหนุ่มสาวมากเลยทีเดียวค่ะ 

เราจะรู้สึกผิดมากๆ ถ้าออกไปข้างนอก แล้วเอาเชื้อโรคมาติดผู้สูงอายุในบ้าน หรือคนที่เรารัก ทำให้จากเดิมที่พยายามหาโอกาสทำงานนอกบ้านตามร้านกาแฟก็เปลี่ยนมาทำงานที่บ้านมากขึ้น ถึงจะฝืนๆ บ้างก็เถอะนะ เพื่อความปลอดภัยของคนในครอบครัว

ห่วงใยคนอื่นมากยิ่งขึ้น

จากการตามข่าวโควิทอย่างใกล้ชิดประหนึ่งดูหุ้นรายวันนั้น ทำให้เรามีความเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความกังวลว่าที่บ้านจะมีหน้ากากอนามัยพอมั้ย เค้าจะยอมใส่หรือเปล่า จนเริ่มมีข่าวออกมาว่าถ้ายังไม่ป่วยสามารถใช้หน้ากากผ้าที่สามารถซักได้เหมือนกันนะ เลยตุนหน้ากากผ้ามากพอที่จะซักรายวันได้ พ่อกับแม่เริ่มใส่ใจกับการใส่หน้ากากอนามัยเวลาไปข้างนอกมากกว่าเดิม แถมมีการเตือนกันด้วยว่าอย่าลืมพกหน้ากากอนามัยนะ 

สำหรับในโซเชียลช่วงนี้ที่มีกระแสว่าทางโรงพยาบาลกำลังขาดแคลนหน้ากากอนามัยอยู่หลายแห่งเลยทีเดียว ผู้คนก็แห่กันไปบริจาคหน้ากากกันมาก เช่น โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลอื่นๆ เป็นต้น รวมไปจนถึงอีเวนท์ระดมทุนเพื่อนำเงินไปซื้อหน้ากากอนามัยให้โรงพยาบาลของพี่อ๋อง ถือเป็นสัญญาณที่ดีจากภาคเอกชนที่ตื่นตัวกับเรื่องการช่วยเหลือโรงพยาบาล

เห็นความช่วยเหลือจาก Influencer

 นอกจากภาคเอกชนแล้ว นับได้ว่าเหตุการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ทำให้เหล่า Influencer (ทั้ง Mini Micro Nano  และอื่นๆ) ต่างโพสต์คอนเทนท์เพื่อให้ความช่วยเหลือเหล่าผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากโควิทอยู่หลายเจ้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น
นี่เป็นส่วนหนึ่งของ Project CSR ร่วมกัน มีชื่อว่า #YesICan “ถ้าเป็นคนไทย...ทำได้อยู่แล้ว”เพื่อให้คนไทยเห็นว่าเราทุกคนมีส่วนช่วยเหลือประเทศได้ แค่ 1 คนออกมาช่วยเหลือคนละเล็กละน้อยในแบบที่ตัวเองทำได้ ก็สามารถฟื้นฟูได้ทั้งเศรษฐกิจและสภาพจิตใจคนไทยด้วยกันได้แล้ว

มีโอกาสได้เก็บเงินมากขึ้น

เมื่อการรวมกลุ่มของคนหมู่มากตามงานสัมมนาและงานอีเวนท์เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิท งานทั้งหลายจึงเลื่อนหรือยกเลิกไปอย่างไม่มีกำหนด (เช่น คอร์ส From Design Psychology to Business Opportunities ของพี่เก่ง) รวมถึงคอนเสิร์ตที่เลื่อนออกไป (เช่น Brooke Lynn Hytes - Live in Singapore

จริงอยู่ว่าเราอาจจะเสียดายที่ไม่ได้ไปงานสัมมนาหรืออีเวนท์ที่น่าสนใจ ไม่ได้เจอคนใหม่ๆ ที่คอยจุดประกายแรงบันดาลใจ (ถ้าเป็น Extrovert จะเข้าใจความอึดอัดนี้มาก) แต่ถ้าคิดในอีกมุมนึงก็ถือว่าได้ทั้งเก็บเงินที่ใช้จ่ายกับสิ่งเหล่านี้ รวมไปถึงได้เวลาในการพัฒนาตนเองในด้านอื่นๆ เช่น เรียนคอร์สออนไลน์ อ่านหนังสือที่ยังอ่านไม่จบ เคลียร์งานที่คั่งค้าง เขียนบล็อคที่ยังไม่ public เป็นต้น

Work from home จะกลายเป็นเรื่องปกติ

จะว่าไป การทำงานที่บ้าน (Work from home) นั้นถูกพูดถึงมาซักพักใหญ่แล้ว แต่ถือว่ายังไม่แพร่หลายในไทยมากสักเท่าไหร่ พอมีโควิทเข้ามาทำให้ออฟฟิสเริ่มตื่นตัวและตั้งรับกับการทำงานที่บ้านมากขึ้น อย่างไรก็ตามการทำงานที่บ้านนั้นอาจจะควบคุมพนักงานได้ลำบากถ้าไม่มีระบบการจัดการที่ดีพอ ออฟฟิสใดที่สนใจทดลอง Work from home สามารถอ่านที่ :: Work From Home สิ่งที่ทุกบริษัทควรเริ่มทดลองทำได้แล้วในวันนี้ :: โดยพี่เอ็ม ได้เลยค่ะ 

กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ กลายคำคมประจำใจ

ตั้งแต่จำความได้ คุณครูและพ่อแม่ปลูกฝังให้กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือมาโดยตลอด อาจจะมีโฆษณารณรงค์อยู่บ้างประปราย พอโควิทกำลังระบาด คำคมนี้ก็ยิ่งที่ให้คนตระหนัก และทำตามกันอย่างจริงจังมากขึ้น ยิ่งการใช้ช้อนกลางที่แต่ก่อนจะทำบ้างไม่ทำบ้าง ตอนนี้ทุกคนก็พร้อมใจกันใช้ช้อนกลางกันมากขึ้น หรือถ้าลืมแล้วเราเตือนก็จะไม่รู้สึกแปลกเท่าแต่ก่อน

รวมถึงการล้างมือที่มีหลายสื่อให้ความสำคัญกับการล้างมือมาก เพราะมือเราสามารถสัมผัสกับเชื้อโรคได้ทุกเมื่อ ดังนั้นการล้างมือบ่อยๆ และถูกวิธีจะทำให้เชื้อโรคนั้นติดตัวเราน้อยลงไปได้ ทุกวันนี้เวลาเข้าห้องน้ำล้างมือก็แอบดูคนข้างๆ ล้างมือแบบตั้งใจล้างมากขึ้นก็รู้สึกดีใจมาก ชอบที่สุดก็ตอนมีคอนเทนต์ร้องท่อนฮุก 20 วินาทีเท่ากับเวลาล้างมือที่มากพอ สุขอนามัยกลายเป็นสิ่งที่คนส่วนมากตระหนักและปฏิบัติตามไปแล้ว รวมถึงเจลแอลกอฮอล์ที่หาได้ง่ายตามที่สาธารณะแม้กระทั้งร้านหอยทอด ถ้าอนาคตตอนที่โรคนี้อาจเริ่มซาไปยังมีมาตรการอนามัยดีแบบนี้น่าจะส่งผลดีในระยะยาวแน่นอน

มีสติกับข่าว Fake news มากยิ่งขึ้น

ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์สร้างความตื่นตัว และตื่นกลัวให้คนหมู่มากเมื่อใด Fake news ก็จะเริ่มมีมากขึ้นเท่านั้น จากตอนแรกที่เห็นอะไรก็เชื่อไปหมดจนแพนิคและพารานอยด์กันไป เมื่อเจอบ่อยๆ เข้าเราก็จะเริ่มรู้และตั้งสติได้ว่า อ๋อ อันนี้ข่าวจริงนะ อ๋อ อันนี้ข่าวปลอม อ๋อ นี่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เหมือนเป็นการฝึกสติในการรับรู้ข่าวสารสารพัดที่เข้ามาอย่างรวดเร็วในวันที่โซเชียลมีเดียมีผลกับการดำเนินชีวิตขนาดนี้ 


จะเห็นได้ว่าแง่มุมดีๆ ที่เกิดขึ้นจากโควิทนั้นไม่ได้เกิดจากการคิดในแง่บวกเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากการมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้รอบด้านว่าเราได้เรียนรู้อะไรจากการที่โควิทระบาดบ้าง และได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์นี้ ที่สำคัญระวังตัวได้แต่อย่าระแวงเกินไปจนเครียด (ความเครียดมีผลกับ Mental Health สามารถทำให้ร่างกายอ่อนแอได้เลยนะจะบอกให้) ดูแลสุขภาพกายและใจให้ดีเพื่อผ่านพ้นวิกฤตโควิทไปด้วยกันนะคะ
พลิกโควิทให้เป็นโอกาส คุณจะไม่พลาดถ้าได้อ่านบทความนี้ พลิกโควิทให้เป็นโอกาส คุณจะไม่พลาดถ้าได้อ่านบทความนี้ Reviewed by giftoun on มีนาคม 14, 2563 Rating: 5

ไม่มีความคิดเห็น

Sponsor

AD BANNER

Travel everywhere!